วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557
การทำผ้าบาติก และอุปกรณ์
การทำผ้าบาติก
การทำผ้าบาติกระบายสี
วัสดุอุปกรณ์ประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
1. ผ้า
ผ้าที่เหมาะที่จะทำผ้าบาติกนั้นจะทำจากใยธรรมชาติเพราะง่ายต่อการติดสี ผ้าที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าเนื้อบาง เช่น มัสลิน ไหมไทย ไหมจีน ไหมญี่ปุ่น ผ้าชีฟอง ผ้าฝ้าย ผ้าป่าน ผ้าเมมเบิด เสื้อยืดจากฝ้าย(cotton) ก่อนลงมือทำให้นำผ้ามาซักเสียก่อน ถ้าเป็นผ้าไหมให้ต้มด้วยน้ำสบู่ประมาณ 5-10 นาที แล้วซักให้สะอาด เสื้อยืดก็เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพราะว่าต้องการให้สารเคมีเคลือบนั้นหลุดออกจากเส้นใยผ้า ถ้าต้องการทราบว่าผ้าชนิดใดติดสีดีหรือไม่ ให้เอาเศษผ้ามาเผาด้วยไฟดู ถ้าลุกโชนเหมือนเผากระดาษก็ใช้ได้ ถ้าเผาไฟดูแล้วไหม้ไฟแบบเผาพลาสติกผ้าชนิดนั้นใช้ไม้ได้
2. สี
สีสำหรับทำผ้าบาติกด้วยวิธีระบายสีนั้น เป็นสีผงเคมีประมาณ 20 สี เลือกซื้อได้ตามต้องการแล้วใส่ขวดขนาดกล่องใส่ฟิล์ม มีทั้งที่จำหน่ายแยกแต่ละสี และจำหน่ายเป็นชุดๆ ละ 12 สี ราคาตั้งแต่ 300 -450 บาท แล้วแต่ปริมาณที่บรรจุ สีผงเหล่านี้แท้จริงจำหน่ายเป็นถังๆ ละหลายกิโลกรัม โดยเฉลี่ยแล้วกิโลกรัมละ 1,000-3,000 บาท แล้วแต่ชนิดของสีหรือความสดของสี เช่น สีดำราคาจะถูก ส่วนสีชมพู สีฟ้าทะเลราคาจะแพงกว่า ซึ่งเรียกตามศัพท์เนื้อสีว่า ซีรี เช่น ซีรี 1 จะถูกกว่า ซีรี 4 เป็นต้น การละลายสีให้ละลายด้วยน้ำร้อน เพราะต้องการให้สารเคมีที่ผสมในสีนั้นสุกหรือละลายจนหมด เมื่อลงบนผ้าจะทำให้สีเกาะทนนาน อัตราส่วนผสมเนื้อสีกับน้ำร้อน 10 กรัม ต่อน้ำ 300 ซีซี แต่ไม่ใช้สูตรที่แน่นอนนัก เพราะเมื่อนำสีมาใช้บางครั้งต้องการสีอ่อน บางครั้งต้องการสีเข้ม ดังนั้น ควรละลายน้ำร้อนให้เข้มไว้ก่อน เมื่อต้องการสีอ่อนค่อยแบ่งใส่ภาชนะ เช่น ขวดพลาสติก แล้วเติมน้ำธรรมดาลงไป ก็จะได้สีอ่อนลงไปเอง เช่น สีแดง เมื่อเติมน้ำลงไปก็จะเป็นแดงอ่อน หรือสีชมพู อย่างนี้เป็นต้น ขณะละลายสีด้วยน้ำร้อนใช้ไม้คนที่ให้เข้ากัน และเมื่อเลิกใช้ก็ปิดฝาภาชนะเก็บไว้ใช้ต่อไป บางครั้งสีอาจจะแห้งก็ให้ละลายน้ำ กลับมาใช้ได้อีก
วัสดุอุปกรณ์ประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
1. ผ้า
ผ้าที่เหมาะที่จะทำผ้าบาติกนั้นจะทำจากใยธรรมชาติเพราะง่ายต่อการติดสี ผ้าที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าเนื้อบาง เช่น มัสลิน ไหมไทย ไหมจีน ไหมญี่ปุ่น ผ้าชีฟอง ผ้าฝ้าย ผ้าป่าน ผ้าเมมเบิด เสื้อยืดจากฝ้าย(cotton) ก่อนลงมือทำให้นำผ้ามาซักเสียก่อน ถ้าเป็นผ้าไหมให้ต้มด้วยน้ำสบู่ประมาณ 5-10 นาที แล้วซักให้สะอาด เสื้อยืดก็เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพราะว่าต้องการให้สารเคมีเคลือบนั้นหลุดออกจากเส้นใยผ้า ถ้าต้องการทราบว่าผ้าชนิดใดติดสีดีหรือไม่ ให้เอาเศษผ้ามาเผาด้วยไฟดู ถ้าลุกโชนเหมือนเผากระดาษก็ใช้ได้ ถ้าเผาไฟดูแล้วไหม้ไฟแบบเผาพลาสติกผ้าชนิดนั้นใช้ไม้ได้
2. สี
สีสำหรับทำผ้าบาติกด้วยวิธีระบายสีนั้น เป็นสีผงเคมีประมาณ 20 สี เลือกซื้อได้ตามต้องการแล้วใส่ขวดขนาดกล่องใส่ฟิล์ม มีทั้งที่จำหน่ายแยกแต่ละสี และจำหน่ายเป็นชุดๆ ละ 12 สี ราคาตั้งแต่ 300 -450 บาท แล้วแต่ปริมาณที่บรรจุ สีผงเหล่านี้แท้จริงจำหน่ายเป็นถังๆ ละหลายกิโลกรัม โดยเฉลี่ยแล้วกิโลกรัมละ 1,000-3,000 บาท แล้วแต่ชนิดของสีหรือความสดของสี เช่น สีดำราคาจะถูก ส่วนสีชมพู สีฟ้าทะเลราคาจะแพงกว่า ซึ่งเรียกตามศัพท์เนื้อสีว่า ซีรี เช่น ซีรี 1 จะถูกกว่า ซีรี 4 เป็นต้น การละลายสีให้ละลายด้วยน้ำร้อน เพราะต้องการให้สารเคมีที่ผสมในสีนั้นสุกหรือละลายจนหมด เมื่อลงบนผ้าจะทำให้สีเกาะทนนาน อัตราส่วนผสมเนื้อสีกับน้ำร้อน 10 กรัม ต่อน้ำ 300 ซีซี แต่ไม่ใช้สูตรที่แน่นอนนัก เพราะเมื่อนำสีมาใช้บางครั้งต้องการสีอ่อน บางครั้งต้องการสีเข้ม ดังนั้น ควรละลายน้ำร้อนให้เข้มไว้ก่อน เมื่อต้องการสีอ่อนค่อยแบ่งใส่ภาชนะ เช่น ขวดพลาสติก แล้วเติมน้ำธรรมดาลงไป ก็จะได้สีอ่อนลงไปเอง เช่น สีแดง เมื่อเติมน้ำลงไปก็จะเป็นแดงอ่อน หรือสีชมพู อย่างนี้เป็นต้น ขณะละลายสีด้วยน้ำร้อนใช้ไม้คนที่ให้เข้ากัน และเมื่อเลิกใช้ก็ปิดฝาภาชนะเก็บไว้ใช้ต่อไป บางครั้งสีอาจจะแห้งก็ให้ละลายน้ำ กลับมาใช้ได้อีก
3. ขี้ผึ้ง(Bee Wax) และพาราฟิน (Paraffin)
ขี้ผึ้งสำหรับทำผ้าบาติก จะมีส่วนผสม ระหว่างขี้ผึ้ง 1 ส่วน ต่อพาราฟิน 3-5 ส่วน ใส่ลงในภาชนะต้ม เทียน ตั้งไฟให้ร้อนและละลายเข้ากัน (เทียนหรือขี้ผึ้งร้อนๆ อย่าทำให้น้ำหกใส่ภาชนะเด็ดขนาด เพราะเทียนจะพุ่งใส่มือ ใส่หน้าอันตราย) ขี้ผึ้งหรือเทียนที่ผสมแล้วนั้นไว้สำหรับเขียนเส้นเป็นลวดลาย ซึ่งที่เรียกว่าตัวกันสี(Color Resists) ซึ่งแต่เดิมใช้เป็นจุดๆ เป็นลวดลายที่เรียกว่า Tik การที่เอาขี้ผึ้งผสมกับพาราฟีนหรือเทียนไข ก็เพราะลดความเหนียวของขี้ผึ้ง เพราะถ้าเป็นขี้ผึ้งแม้จะเหนียวมาก การใช้ Canting เขียนจะลำบาก
4. ภาชนะต้มเทียนและเตาไฟฟ้าต้มเทียน
ภาชนะที่ใช้ควรเป็นภาชนะที่มีหูจับ เพราะสะดวกในการยกขึ้น-ลงขณะวางบนเตา จะเป็นภาชนะเคลือบหรือแสตนเลส อะลูมิเนียมก็ได้ เตาไฟฟ้าจะใช้แบบใดก็ได้ ห้ามใช้เตาแก๊สเป็นอันขาด เพราะเปลวไฟกับเทียนเป็นอันตราย ถ้าไม่มีไฟฟ้าก็ใช้เตาถ่านก็ได้
5. กรอบสำหรับขึงผ้า
กรอบสำหรับขึงผ้าเดิมทีทำด้วยไม้ แต่ปัจจุบันไม้ราคาแพงจึงดัดแปลงมาใช้กรอบเหล็กแทน ก่อนขึงผ้าจะใช้แทนทาบนขอบให้หนาๆ และทั่วถึง เมื่อขึงผ้าก็นำผ้ามาติดบนขอบ เทียนจะเป็นตัวยึดให้ผ้าติดอยู่บนกรอบทั้ง 4 ด้าน ขนาดของกรอบย่อมขึ้นอยู่กับขนาดของผ้า เช่น ถ้าใช้ผ้ากว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร ก็ต้องใช้กรอบที่มีขนาดเท่ากับกว้าง 1 เมตร และยาว 2 เมตรเช่นกัน การใช้กรอบเหล็กก็มีผลดีคือ สามารถถอดเก็บหรือขยายให้ใหญ่ หรือทำให้เล็กได้ เพราะมีช่องสำหรับใส่นอตเลื่อนเข้าออกได้ตามต้องการ หรือมแม้แต่จะต่อให้มีความยาวมากขึ้นก็ได้
6. สารกันสีตก
สารกันสีตก(Fixing Agent) ที่ใช้กันคือ โซเดียม ซิลิเกต(Sodium Silicate) มีลักษณะเป็นของเหลวสีขุ่นข้นคล้ายกาวเหลวที่ใช้ติดกระดาษ ใช้โซเดียม ซิลิเกตมาหรือนำผ้าที่ระบายสีแล้วลงแช่ในถ้วยโซเดียม เพื่อกันสีตก
7. ซานติ้ง (Canting)
7. ซานติ้ง (Canting)
มีลักษณะปลายแหลมคล้ายปากกาทำด้วยทองเหลืองสองซีกประกบกัน มีรอยโก่งตรงกลางเล็กน้อย ตุ้มกลมๆ พันด้วยด้ายว่าวมีด้ามไม้ ใช้สำหรับเขียนเทียน
ลาดลายของผ้าบาติก (Convention of Form)
การออกแบบลวดลายผ้าบาติก ถ้าจะกล่าวถึงความเป็นมาตั้งแต่ดั้งเดิมแล้วชาวชวามีความเชื่อในการทำผ้าบาติกที่เกี่ยวข้องกับสีและลวดลายชาวชวามีความเชื่อว่า สีและลวดลายแต่ละแบบ แต่ละชนิดจะเป็นสิริมงคลแก่ผู้สวมใส่มีความเชื่อว่าการสวมใส่ผ้าบาติกมีลักษณะพิเศษทั้งสี และลวดลายที่กำหนดไว้มีความประณีตจะช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ สำหรับคู่บ่าวสาวที่เข้าพิธีสมรสถ้าได้ส่วมใส่ผ้าบาติกตามที่กำหนดตมความเชื่อแล้ว คู่บ่าวสาวจะประสบแต่ความสุขสวัสดีแก่ชีวิตตลอดไป นอกจากนี้ ลวดลายต่างๆ ที่ปรากฏบนผ้ายังมีการเรียกชื่อหรือจำเพาะลวดลายลงไปสำหรับบุคคลบางคนบางกลุ่มเท่านั้นที่จะสวมใส่ผ้าบาติกที่มีสีและลวดลายนั้นๆ ได้ เช่น ใช้เฉพาะสุลต่านหรือเฉพาะในราชสำนักสีและลวดลายที่โดดเด่นสำคัญนั้นปราโมทย์ แสงพลสิทธิ์ เขียนไว้ในสูจิบัตรงานสีสันบนผ้าว่าการผลิตผ้าของชวาในแต่ละแห่งจะมีแบบอย่างและเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เช่น ผ้าบาติกที่เมืองยอร์ค ยากาต้า(Yogyakata) หรือที่เรียกกันสั้นๆว่าเมืองยอร์ค ยา และเมืองสุระ กาต้า นิยมใช้สีน้ำเงินเข้ม(ได้จากแกนขนุน:ผู้เขียน) สีน้ำเงิน(ได้จากต้นไม้ชนิดหนึ่ง คล้ายสีครามและสีเสื้อหม้อฮ่อมของไทย:ผู้เขียน) และสีครีมเป็นส่วนใหญ่ ผ้าบาตริกที่สวยงามได้รับความนิยมเป็นพิเศษที่ทำจากเมือง Cirebon ทางแถบชายทะเลด้านตะวันออกเฉียงเหนือของชวารูปแบบทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เช่น เมฆา ริ้วคลื่น โขดหิน ดอกไม้ และสัตว์ชนิดต่างๆ บางส่วนได้รับอิทธิพลลวดลายจาดเครื่องเคลือบของจีนจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับดอกไม้ นก และเหยี่ยว สีที่ปรากฏ เช่น สีชมพู สีเหลืองและสีน้ำเงิน ที่เมือง Peka Iongan เป็นแหล่งบุกเบิกในเรื่องการย้อมสี โดยใช้เคมีทำให้บาติกจากที่มีสีสดใส และมีการใช้สีมากมายหลายสีมากกว่าแหล่งใดๆและเป็นบาติกที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน
ปัจจุบันลวดลายบาติกมีความหลากหลายมากมายขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการนำไปใช้ แต่อย่างไรก็ตาม การออกแบบลวดลายจะหนีไม่พ้นจากที่มาดังต่อไปนี้
ลาดลายของผ้าบาติก (Convention of Form)
การออกแบบลวดลายผ้าบาติก ถ้าจะกล่าวถึงความเป็นมาตั้งแต่ดั้งเดิมแล้วชาวชวามีความเชื่อในการทำผ้าบาติกที่เกี่ยวข้องกับสีและลวดลายชาวชวามีความเชื่อว่า สีและลวดลายแต่ละแบบ แต่ละชนิดจะเป็นสิริมงคลแก่ผู้สวมใส่มีความเชื่อว่าการสวมใส่ผ้าบาติกมีลักษณะพิเศษทั้งสี และลวดลายที่กำหนดไว้มีความประณีตจะช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ สำหรับคู่บ่าวสาวที่เข้าพิธีสมรสถ้าได้ส่วมใส่ผ้าบาติกตามที่กำหนดตมความเชื่อแล้ว คู่บ่าวสาวจะประสบแต่ความสุขสวัสดีแก่ชีวิตตลอดไป นอกจากนี้ ลวดลายต่างๆ ที่ปรากฏบนผ้ายังมีการเรียกชื่อหรือจำเพาะลวดลายลงไปสำหรับบุคคลบางคนบางกลุ่มเท่านั้นที่จะสวมใส่ผ้าบาติกที่มีสีและลวดลายนั้นๆ ได้ เช่น ใช้เฉพาะสุลต่านหรือเฉพาะในราชสำนักสีและลวดลายที่โดดเด่นสำคัญนั้นปราโมทย์ แสงพลสิทธิ์ เขียนไว้ในสูจิบัตรงานสีสันบนผ้าว่าการผลิตผ้าของชวาในแต่ละแห่งจะมีแบบอย่างและเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เช่น ผ้าบาติกที่เมืองยอร์ค ยากาต้า(Yogyakata) หรือที่เรียกกันสั้นๆว่าเมืองยอร์ค ยา และเมืองสุระ กาต้า นิยมใช้สีน้ำเงินเข้ม(ได้จากแกนขนุน:ผู้เขียน) สีน้ำเงิน(ได้จากต้นไม้ชนิดหนึ่ง คล้ายสีครามและสีเสื้อหม้อฮ่อมของไทย:ผู้เขียน) และสีครีมเป็นส่วนใหญ่ ผ้าบาตริกที่สวยงามได้รับความนิยมเป็นพิเศษที่ทำจากเมือง Cirebon ทางแถบชายทะเลด้านตะวันออกเฉียงเหนือของชวารูปแบบทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เช่น เมฆา ริ้วคลื่น โขดหิน ดอกไม้ และสัตว์ชนิดต่างๆ บางส่วนได้รับอิทธิพลลวดลายจาดเครื่องเคลือบของจีนจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับดอกไม้ นก และเหยี่ยว สีที่ปรากฏ เช่น สีชมพู สีเหลืองและสีน้ำเงิน ที่เมือง Peka Iongan เป็นแหล่งบุกเบิกในเรื่องการย้อมสี โดยใช้เคมีทำให้บาติกจากที่มีสีสดใส และมีการใช้สีมากมายหลายสีมากกว่าแหล่งใดๆและเป็นบาติกที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน
ปัจจุบันลวดลายบาติกมีความหลากหลายมากมายขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการนำไปใช้ แต่อย่างไรก็ตาม การออกแบบลวดลายจะหนีไม่พ้นจากที่มาดังต่อไปนี้
1. ลวดลายจากรูปทรงพื้นฐานหรือลายเรขาคณิต
2. ลวดลายจากธรรมชาติ ดอกไม้พืช-สัตว์ ทิวทัศน์
3. ลวดลายจากสิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น
4. ลวดลายจากความเชื่อ ประเพณี ศาสนา ฯลฯ
5. ลวดลายจากมนุษย์ หรือกิจกรรมของมนุษย์
ตัวอย่างผลงานลวดลายจากธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ พืช สัตว์
ตัวอย่างผลงานลวดลายจากธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ พืช สัตว์
ภาพที่ 3 ตัวอย่างลวดลายจากสิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นมา
เมื่อทราบที่มาของลวดลายแล้ว การฝึกเขียนเส้น Canting ให้ได้ดีนั้นควรตั้งต้นฝึกจากการลากเส้นจาก Canting บนผ้าเพื่อฝึกและทำลองดูลักษณะของเส้นเทียน ทั้งขนาดและทิศทางเส้นเทียนหรือขี้ผึ้งจะขึ้นอยู่กับขนาดของ Canting เช่น เบอร์ L เบอร์ M เบอร์ MS เบอร์ S ซึ่งใหญ่สุด คือเบอร์ L และเล็กสุด คือเบอร์ S นอกจากขนาด Canting แล้วยังเกี่ยวข้องกับความร้อนและความเร็วของขี้ผึ้ง และการลากเส้น เช่น ถ้าขี้ผึ้งร้อนจัด มักจะได้เส้นใหญ่ หรือถ้าลาก Canting ช้ามากไปก็จะได้เส้นใหญ่เช่นกัน และในทางกลับกัน ถ้าขี้ผึ้งไม่ร้อนก็จะได้เส้นเล็กหรือลากเส้นไม่ติด หรือลาก Canting เร็วก็จะได้เส้นเล็ก หรือเส้นไม่ติดเช่นกัน ดังนั้น การฝึกการลากเส้นจาก Canting ก่อนจะช่วยให้ทราบปัญหาและรู้ขนาดของเส้นขี้ผึ้งจาก Canting ที่นำมาใช้ เมื่อลงมือปฏิบัติจริง จะได้ผลงานที่สมบูรณ์ ความสำคัญของการลากเส้นจากขี้ผึ้งด้วย Canting ในการทำบาติก วิธีระบายสีนั้นถือว่าสำคัญอันดับหนึ่ง เพราะถ้าเขียนเส้นเทียนไม่สวยแล้วระบายสีให้สวยงามอย่างไรก็ไร้ผล
ปฏิบัติการทำผ้าบาติกระบายสี (Direct Batik Painting)
การทำผ้าบาติกขั้นพื้นฐานนั้น เป็นการปฏิบัติเพื่อเรียนรู้และทดลองทำ เพื่อสร้างประสบการณ์ การลงมือปฏิบัตินั้น ควรทำในผืนผ้าชิ้นไม่โตนัก เช่น ขนาด 45x45 Cm ก็พอ ขั้นตอนลงมือปฏิบัตินั้นกล่าวโดยสรุป ได้ ดังนี้ 1. การเตรียมลวดลาย โดยออกแบบไว้ในกระดาษ 2. การลอกลายลงบนผืนผ้า 3. การขึงผ้าบนขอบที่เตรียมไว้ 4. การเขียนเส้นเทียนด้วย Canting บนลวดลายที่ลอกลงไว้บนผ้า 5. การปฏิบัติการระบายสี 6. การใช้โซเดียมซิลิเกต ทาเพื่อกันสีตก 7. การลอกเทียนออกจากผืนผ้าโดยผ่านน้ำร้อน
ขั้นที่ 1. การเตรียมลวดลาย โดยออกแบบไว้ในกระดาษ
ขั้นที่ 2 การลอกลายลงบนผืนผ้า
ขั้นที่ 3 การขึงผ้าบนขอบที่เตรียมไว้
ขั้นที่ 4 การเขียนเส้นเทียนด้วย Canting บนลวดลายที่ลอกลงไว้บนผ้า
ขั้นที่ 5 การปฏิบัติการระบายสี
ขั้นที่ 6 การใช้โซเดียมซิลิเกต ทาเพื่อกันสีตก
กรรมวิธีทางโซเดียม ซิลิเกต สารเคมีชื่อโซเดียม ซิลิเกต เป็นเกลือชนิดหนึ่งบรรจุขวด จำหน่ายเป็นกิโล ราคาขึ้นอยู่กับการขายปลีกและขายส่ง โซเดียม ซิลิเกต ที่จำหน่ายสามระดับคือ ข้นมาก ข้นปานกลาง และเหลว ใช้ได้ 3 ลักษณะ แต่ขอแนะนำให้ใช้อย่างเหลวจะสะดวกกว่า
การใช้โซเดียมกันสีตกทำได้ 2 วิธี คือ 1. ใช้แปรงสำหรับทาสีทาบนผ้าขนาดที่ขึงอยู่บนกรอบ การทาโซเดียมจะต้องใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เก่ามารองพื้นกันไม่ให้โซเดียมหยดลงพื้น เพราะเมื่อแห้งแล้วจะล้างออกยากมาก และถ้าหยดลงพื้นให้รีบล้างออกทันทีไม่ควรทาบนพื้นบ้าน พื้นไม้เพราะจะทำให้เกิดรอยด่าง ควรเรียกใช้ที่ให้เหมาะถ้าเกิดสกปรกก็ไม่เกิดความเสียหาย เมื่อทาจนแน่ใจว่าทั่วแล้วก็วางผึ่งไว้ในร่มอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง จึงนำไปลอกเทียนด้วยน้ำร้อน 2. การลงโซเดียมโดยใส่ผ้าลงในถังโซเดียมโดยตรง วิธีนี้ใช้กับผ้าผืนใหญ่ที่ไม่สะดวกในการทาหรือต้องการความรวดเร็วแต่ก็ยุ่งยากวุ่นวายพอสมควร และทำคนเดียววิธีการคือ นำผ้าที่ระบายสีปล่อยให้แห้งดีจุ่มลงในถังจนมิดผืนผ้าแล้วคลี่ผ้าที่อยู่ในถังโซเดียมให้ติดโซเดียมจนทั่ว แล้วค่อยๆ ยกขึ้นใช้มือบีบรีดเอาโซเดียมออกให้ไหลลงในถังเก็บไว้ใช้ได้อีก วิธีนี้จะต้องใช้โซเดียมจำนวนมากเพื่อให้ผ้าจมขณะที่นำผ้าจุ่มลงในถัง เมื่อเอามือบีบรีดโซเดียมออกแล้วนำผ้าไปผึ่งลมที่ร่มโดยห้อยใช้ผ้าลงอย่างไม่ให้ผ้ามาทับกันเป็นอันขาด เพราะเมื่อแห้งโซเดียมจะติดกัน การดึงผ้าออกจะทำให้ผ้าขาดได้ ดังนั้น ควรตาก บนราวโดยใช้ที่หนีบผ้า หนีบริมผ้าให้เกี่ยวบนราวน้อยที่สุด ควรตากตามความยาวของผ้า และใต้ราวต้องปูกระดาษหนังสือพิมพ์เก่ากัน โซเดียมหยดลงพื้น ปล่อยทิ้งไว้ในที่ร่มอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง หรือค้างคืนได้ก็ดีแล้วจึงนำไปลงน้ำร้อนเพื่อลอกเทียนออกจากผืนผ้า
การลอกเทียนหรือขี้ผึ้งออกจากผ้า ผ้าที่ลงโซเดียมไว้เรียบร้อยแล้วเมื่อจะลอกเทียนออกให้ปฏิบัติดังนี้ 1.ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ ภาชนะที่ต้มไม่ควรนำมาปรุงอาหารอีก ควรเป็นหม้อที่ใช้สำหรับทำบาติกโดยเฉพาะ ใช้ภาชนะอันไหนก็ได้ที่เหมาะสำหรับการต้มน้ำ และปริมาณของน้ำที่จะจุ่มผ้านั้นๆได้ ต้องรอจนน้ำนั้นเดือดเต็มที่จึงนำผ้าลงแช่
2.นำผ้าที่ทาโซเดียมซิลิเกต ไว้แล้วไปซักน้ำธรรมดา ซักจนสีตกออกมาจืดจางแล้วบิดออกก่อนแช่ลงในน้ำร้อน
3.น้ำที่เดือดได้ที่ดีแล้วให้ใส่ โซเดียม ซิลิเกต เช่น ถ้าผ้าขนาด 45X45 ซม.ก็ใส่ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะใช้ไม้คนให้ทั่วพร้อมทั้งใส่สบู่เหลวที่ใช้ล้างจานลงไปด้วย 1-2 ช้อนโต๊ะ จะใช้ผงซักฟอกก็ได้ ถ้าผ้าผืนใหญ่ก็เพิ่มปริมาณเข้าไปมากน้อยไม่เป็นปัญหาใดๆ การใส่โซเดียมและผงซักฟอกก็เพราะให้เทียนหลุดออกจากผ้าง่ายขึ้น และไม่กลับไปจับบนผืนผ้าอีก เมื่อคนให้ทั่วดีแล้วจึงนำผ้าที่ซักน้ำแล้วลงแช่ในน้ำร้อน(ตอนนี้เตาได้แล้ว) ใช้ไม้พลิกดูว่าเทียนหลุดจนหมดหรือไม่ ประมาณ 2-3 นาที ผ้าขึ้นนำไปซักน้ำธรรมดา ก็จะได้ชิ้นงานสำเร็จ
4.นำผ้าขึ้นนำไปซักน้ำธรรมดา ก็จะได้ชิ้นงานสำเร็จ
5. เมื่อซักผ้าจนสีที่ตกเจือจางแล้ว ก็นำไปตากแดด จนแห้งก็ เสร็จสิ้นพร้อมที่จะนำไปใช้งานตามความต้องการได้
เมื่อทราบที่มาของลวดลายแล้ว การฝึกเขียนเส้น Canting ให้ได้ดีนั้นควรตั้งต้นฝึกจากการลากเส้นจาก Canting บนผ้าเพื่อฝึกและทำลองดูลักษณะของเส้นเทียน ทั้งขนาดและทิศทางเส้นเทียนหรือขี้ผึ้งจะขึ้นอยู่กับขนาดของ Canting เช่น เบอร์ L เบอร์ M เบอร์ MS เบอร์ S ซึ่งใหญ่สุด คือเบอร์ L และเล็กสุด คือเบอร์ S นอกจากขนาด Canting แล้วยังเกี่ยวข้องกับความร้อนและความเร็วของขี้ผึ้ง และการลากเส้น เช่น ถ้าขี้ผึ้งร้อนจัด มักจะได้เส้นใหญ่ หรือถ้าลาก Canting ช้ามากไปก็จะได้เส้นใหญ่เช่นกัน และในทางกลับกัน ถ้าขี้ผึ้งไม่ร้อนก็จะได้เส้นเล็กหรือลากเส้นไม่ติด หรือลาก Canting เร็วก็จะได้เส้นเล็ก หรือเส้นไม่ติดเช่นกัน ดังนั้น การฝึกการลากเส้นจาก Canting ก่อนจะช่วยให้ทราบปัญหาและรู้ขนาดของเส้นขี้ผึ้งจาก Canting ที่นำมาใช้ เมื่อลงมือปฏิบัติจริง จะได้ผลงานที่สมบูรณ์ ความสำคัญของการลากเส้นจากขี้ผึ้งด้วย Canting ในการทำบาติก วิธีระบายสีนั้นถือว่าสำคัญอันดับหนึ่ง เพราะถ้าเขียนเส้นเทียนไม่สวยแล้วระบายสีให้สวยงามอย่างไรก็ไร้ผล
ปฏิบัติการทำผ้าบาติกระบายสี (Direct Batik Painting)
การทำผ้าบาติกขั้นพื้นฐานนั้น เป็นการปฏิบัติเพื่อเรียนรู้และทดลองทำ เพื่อสร้างประสบการณ์ การลงมือปฏิบัตินั้น ควรทำในผืนผ้าชิ้นไม่โตนัก เช่น ขนาด 45x45 Cm ก็พอ ขั้นตอนลงมือปฏิบัตินั้นกล่าวโดยสรุป ได้ ดังนี้ 1. การเตรียมลวดลาย โดยออกแบบไว้ในกระดาษ 2. การลอกลายลงบนผืนผ้า 3. การขึงผ้าบนขอบที่เตรียมไว้ 4. การเขียนเส้นเทียนด้วย Canting บนลวดลายที่ลอกลงไว้บนผ้า 5. การปฏิบัติการระบายสี 6. การใช้โซเดียมซิลิเกต ทาเพื่อกันสีตก 7. การลอกเทียนออกจากผืนผ้าโดยผ่านน้ำร้อน
ขั้นที่ 1. การเตรียมลวดลาย โดยออกแบบไว้ในกระดาษ
ขั้นที่ 2 การลอกลายลงบนผืนผ้า
ขั้นที่ 3 การขึงผ้าบนขอบที่เตรียมไว้
ขั้นที่ 4 การเขียนเส้นเทียนด้วย Canting บนลวดลายที่ลอกลงไว้บนผ้า
ขั้นที่ 5 การปฏิบัติการระบายสี
ขั้นที่ 6 การใช้โซเดียมซิลิเกต ทาเพื่อกันสีตก
กรรมวิธีทางโซเดียม ซิลิเกต สารเคมีชื่อโซเดียม ซิลิเกต เป็นเกลือชนิดหนึ่งบรรจุขวด จำหน่ายเป็นกิโล ราคาขึ้นอยู่กับการขายปลีกและขายส่ง โซเดียม ซิลิเกต ที่จำหน่ายสามระดับคือ ข้นมาก ข้นปานกลาง และเหลว ใช้ได้ 3 ลักษณะ แต่ขอแนะนำให้ใช้อย่างเหลวจะสะดวกกว่า
การใช้โซเดียมกันสีตกทำได้ 2 วิธี คือ 1. ใช้แปรงสำหรับทาสีทาบนผ้าขนาดที่ขึงอยู่บนกรอบ การทาโซเดียมจะต้องใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เก่ามารองพื้นกันไม่ให้โซเดียมหยดลงพื้น เพราะเมื่อแห้งแล้วจะล้างออกยากมาก และถ้าหยดลงพื้นให้รีบล้างออกทันทีไม่ควรทาบนพื้นบ้าน พื้นไม้เพราะจะทำให้เกิดรอยด่าง ควรเรียกใช้ที่ให้เหมาะถ้าเกิดสกปรกก็ไม่เกิดความเสียหาย เมื่อทาจนแน่ใจว่าทั่วแล้วก็วางผึ่งไว้ในร่มอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง จึงนำไปลอกเทียนด้วยน้ำร้อน 2. การลงโซเดียมโดยใส่ผ้าลงในถังโซเดียมโดยตรง วิธีนี้ใช้กับผ้าผืนใหญ่ที่ไม่สะดวกในการทาหรือต้องการความรวดเร็วแต่ก็ยุ่งยากวุ่นวายพอสมควร และทำคนเดียววิธีการคือ นำผ้าที่ระบายสีปล่อยให้แห้งดีจุ่มลงในถังจนมิดผืนผ้าแล้วคลี่ผ้าที่อยู่ในถังโซเดียมให้ติดโซเดียมจนทั่ว แล้วค่อยๆ ยกขึ้นใช้มือบีบรีดเอาโซเดียมออกให้ไหลลงในถังเก็บไว้ใช้ได้อีก วิธีนี้จะต้องใช้โซเดียมจำนวนมากเพื่อให้ผ้าจมขณะที่นำผ้าจุ่มลงในถัง เมื่อเอามือบีบรีดโซเดียมออกแล้วนำผ้าไปผึ่งลมที่ร่มโดยห้อยใช้ผ้าลงอย่างไม่ให้ผ้ามาทับกันเป็นอันขาด เพราะเมื่อแห้งโซเดียมจะติดกัน การดึงผ้าออกจะทำให้ผ้าขาดได้ ดังนั้น ควรตาก บนราวโดยใช้ที่หนีบผ้า หนีบริมผ้าให้เกี่ยวบนราวน้อยที่สุด ควรตากตามความยาวของผ้า และใต้ราวต้องปูกระดาษหนังสือพิมพ์เก่ากัน โซเดียมหยดลงพื้น ปล่อยทิ้งไว้ในที่ร่มอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง หรือค้างคืนได้ก็ดีแล้วจึงนำไปลงน้ำร้อนเพื่อลอกเทียนออกจากผืนผ้า
การลอกเทียนหรือขี้ผึ้งออกจากผ้า ผ้าที่ลงโซเดียมไว้เรียบร้อยแล้วเมื่อจะลอกเทียนออกให้ปฏิบัติดังนี้ 1.ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ ภาชนะที่ต้มไม่ควรนำมาปรุงอาหารอีก ควรเป็นหม้อที่ใช้สำหรับทำบาติกโดยเฉพาะ ใช้ภาชนะอันไหนก็ได้ที่เหมาะสำหรับการต้มน้ำ และปริมาณของน้ำที่จะจุ่มผ้านั้นๆได้ ต้องรอจนน้ำนั้นเดือดเต็มที่จึงนำผ้าลงแช่
2.นำผ้าที่ทาโซเดียมซิลิเกต ไว้แล้วไปซักน้ำธรรมดา ซักจนสีตกออกมาจืดจางแล้วบิดออกก่อนแช่ลงในน้ำร้อน
3.น้ำที่เดือดได้ที่ดีแล้วให้ใส่ โซเดียม ซิลิเกต เช่น ถ้าผ้าขนาด 45X45 ซม.ก็ใส่ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะใช้ไม้คนให้ทั่วพร้อมทั้งใส่สบู่เหลวที่ใช้ล้างจานลงไปด้วย 1-2 ช้อนโต๊ะ จะใช้ผงซักฟอกก็ได้ ถ้าผ้าผืนใหญ่ก็เพิ่มปริมาณเข้าไปมากน้อยไม่เป็นปัญหาใดๆ การใส่โซเดียมและผงซักฟอกก็เพราะให้เทียนหลุดออกจากผ้าง่ายขึ้น และไม่กลับไปจับบนผืนผ้าอีก เมื่อคนให้ทั่วดีแล้วจึงนำผ้าที่ซักน้ำแล้วลงแช่ในน้ำร้อน(ตอนนี้เตาได้แล้ว) ใช้ไม้พลิกดูว่าเทียนหลุดจนหมดหรือไม่ ประมาณ 2-3 นาที ผ้าขึ้นนำไปซักน้ำธรรมดา ก็จะได้ชิ้นงานสำเร็จ
4.นำผ้าขึ้นนำไปซักน้ำธรรมดา ก็จะได้ชิ้นงานสำเร็จ
5. เมื่อซักผ้าจนสีที่ตกเจือจางแล้ว ก็นำไปตากแดด จนแห้งก็ เสร็จสิ้นพร้อมที่จะนำไปใช้งานตามความต้องการได้
อ้างอิง: http://kruyuwadee26.blogspot.com/2010_03_01_archive.html
ผ้าบาติก
ผ้าบาติก
เป็นคำที่ใช้เรียกผ้าชนิดหนึ่งที่มีวิธีการทำลวดลายผ้าโดยการใช้เทียนปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้สีติด
และระบายสีในส่วนที่ต้องการให้สีติด "บาติก" หรือ "ปาเต๊ะ"
เป็นคำในภาษาชวามาจากคำว่า "ติติ๊ก"หรือ "ติก"มีความหมายว่า
เล็กน้อยหรือจุดเล็กๆ โดยใช้การหลอมเหลวของแว๊ก (WAX) หยดหรือเขียนที่เรียกว่า "การเขียนน้ำเทียน"
เป็นกรรมวิธีที่จะระบายเทียนที่หลอมเหลวให้เข้าไปในเนื้อผ้า
จากนั้นนำไปย้อมตามขบวนการการทำสีผ้าบาติก คือ
ย้อมในส่วนที่ไม่ปิดแว๊กให้ติดสีย้อมคือแต้มหรือระบายลงไปในส่วนที่ต้องการให้สีติด
เมื่อเสร็จกรรมวิธีแล้วจึงลอกเทียนออกด้วยการนำไปต้มในน้ำเดือด ดังนั้น
"บาติก" จึงเป็นการตกแต่งผ้าวิธีหนึ่งที่ทำกันมากในประเทศอินโดนีเซีย
มาเลเซีย รวมถึงประเทศไท
ยซึ่งมีการนำเสนอลวดลายผ้าที่ออกมาจากความคิดจินตนาการของผู้ทำรวมทั้งเทคนิคในการทำที่แตกต่างกันของกลุ่มชนในแต่ละประเทศที่เป็นเอกลักษณ์แสดงถึง
อารยธรรม และวัฒนธรรมที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในสถานที่นั้น ๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)